ท้องหรือไม่ท้องรู้ได้อย่างไร

จะรู้ได้อย่างไรว่าท้องหรือไม่ท้อง ซึ่งการท้องหรือตั้งครรภ์ต้องใช้ข้อมูลหลายอย่างประกอบกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาการแสดง ซึ่งคุณผู้หญิงสามารถสังเกตุอาการตัวเองเบื้องต้นได้ดังนี้

อาการที่บ่งบอกว่าคุณกำลังตั้งครรภ์

  • ประจำเดือนขาด โดยปกติประจำเดือนของผู้หญิงจะมีระยะเวลาประมาณ 21-35 วัน และมาใกล้เคียงกันทุกเดือน แต่ถ้าหาก ประจำเดือนเกิดขาดหายไปนานเกินกว่า 10 วัน นั่นอาจเป็นสัญญาณที่บอกได้ว่า “กำลังตั้งครรภ์”
  • เต้านมมีการเปลี่ยนแปลง เต้านม และลานนมอาจมีสีเข้ม หรือคล้ำขึ้น รวมถึงเต้านมขยายขนาดผิดปกติ มีอาการเจ็บตึงที่เต้านม
  • ปัสสาวะบ่อย เนื่องจากเกิดการขยายของตัวมดลูก รวมถึงร่างกายผลิตเลือดไปยังส่วนต่าง ๆ มากขึ้นจึงทำให้ไตขับของเสียออกจากร่างกายมากขึ้นด้วย
  • คลื่นไส้ อาเจียน มักจะเกิดขึ้นหลังจากการปฏิสนธิประมาณ 1 เดือน แต่บางคนอาจจะตั้งครรภ์โดยไม่มีอาการแพ้ท้องเลยก็ได้-เบื่ออาหาร
  • ท้องอืด ท้องเฟ้อ
  • อารมณ์แปรปรวน จะมีอาการโกรธ หรือหงุดหงิดง่าย เนื่องจากร่างกายกำลังปรับตัวเข้าสู่สมดุล

ถ้าไม่แน่ใจแนะนำให้ซื้อที่ตรวจการตั้งครรภ์ โดยชุดตรวจการตั้งครรภ์เพื่อตรวจหาฮอร์โมน Human chorionic gonadotropin: HCG ในปัสสาวะ ซึ่งมีความแม่นยำมากกว่า 90%  ฮอร์โมน HCG จะไปกระตุ้นให้ร่างกายของผู้หญิงเตรียมพร้อมสำหรับการตั้งครรภ์ ซึ่งนอกจากจะเป็นฮอร์โมนที่อยู่ในกระแสเลือดแล้ว ยังสามารถขับออกมาได้ทางปัสสาวะ ทำให้เราสามารถตรวจค่าการตั้งครรภ์ได้จากอุปกรณ์ดังกล่าว ชุดตรวจการตั้งครรภ์สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป

ชุดตรวจการตั้งครรภ์ในปัจจุบัน แบ่งออกเป็น

  • แบบแถบจุ่ม  ประกอบไปด้วยแผ่นทดสอบการตั้งครรภ์ และถ้วยตวง (บางยี่ห้อไม่มี) วิธีการใช้คือเก็บปัสสาวะลงในถ้วยตวง แล้วนำแผ่นทดสอบจุ่มลงในถ้วยตวงประมาณ 3 วินาที แล้วนำออกมาจากถ้วยตวงทิ้งไว้ประมาณ 5 นาทีเพื่อรออ่านผลตรวจครรภ์ ข้อควรระวัง คือ อย่าให้น้ำปัสสาวะเลย หรือสูงเกินกว่าขีดลูกศรของแผ่นทดสอบ อุปกรณ์ประเภทนี้จะมีราคาไม่แพง
  • แบบปัสสาวะผ่าน มีเพียงแท่งตรวจครรภ์ที่ใช้ในการทดสอบเท่านั้น วิธีการใช้คือ ถอดฝาครอบออกแล้วถือแท่งให้หัวลูกศรชี้ลงพื้น แล้วปัสสาวะผ่านบริเวณที่ต่ำกว่าลูกศรให้ชุ่มประมาณ 30 วินาที จากนั้นรออ่านผลประมาณ 3-5 นาที
  • แบบหยด หรือแบบตลับ ชุดอุปกรณ์จะประกอบไปด้วยหลอดหยด ตลับตรวจครรภ์ และถ้วยตวงปัสสาวะ ขั้นตอนการใช้ คือ เก็บปัสสาวะลงในถ้วยตวง จากนั้นนำหลอดหยดดูดน้ำปัสสาวะแล้วหยดลงในตลับตรวจครรภ์ประมาณ 3-4 หยด วางตลับทิ้งไว้ประมาณ 5 นาทีแล้วจึงอ่านผลการตรวจ

คำแนะนำในการใช้ชุดตรวจการตั้งครรภ์

  • ควรตรวจ หลังจากประจำเดือนขาดอย่างน้อย 2 สัปดาห์
  • ควรตรวจ และใช้ปัสสาวะในช่วงเช้า หลังตื่นนอน เพราะจะเป็นช่วงที่ ฮอร์โมน HCG เข้มข้นและมีมากที่สุด

นอกจากนี้หากต้องการเพิ่มความมั่นใจ สามารถตรวจการตั้งครรภ์ได้ที่โรงพยาบาล ได้แก่

1. การตรวจการตั้งครรภ์ในห้องปฎิบัติการ ที่เรียกว่า Urine Pregnancy test” หรือ ยูพีที (UPT) เจ้าหน้าที่จะทำการเราเก็บปัสสาวะไปให้ห้องแลบที่โรงพยาบาลตรวจให้ โดยทั่วไป ค่า sensitive ของการตรวจการตั้งครรภ์ด้วยปัสสาวะที่โรงพยาบาล จะอยู่ที่ 20-25 mIU/ml ทำให้ตรวจได้แม้ระดับฮอร์โมนยังไม่สูงมากนัก และแปลผลโดยนักเทคนิคการแพทย์

2. การตรวจการตั้งครรภ์ โดยการเจาะเลือด วิธีนี้เป็นการตรวจที่ได้ผลแม่นยำที่สุด สามารถตรวจพบการตั้งครรภ์ได้ตั้งแต่ 2 สัปดาห์หลังจากมีการปฏิสนธิเกิดขึ้น ในขณะที่บางครั้งการตรวจจากปัสสาวะยังไม่ขึ้นผล แต่ตรวจเลือดก็ได้ผลว่า พบฮอร์โมนการตั้งครรภ์แล้ว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการตรวจให้รู้แน่ชัดโดยไว เช่น ผู้ที่มีภาวะมีบุตรยาก หรือมีประวัติแท้งบุตร ต้องการข้อมูลเพื่อวางแผนการดูแล ให้ฮอร์โมนเสริมต่างๆ เพื่อป้องกันการแท้งบุตร

3. การตรวจการตั้งครรภ์ ด้วยการอัลตร้าซาวด์  การตรวจด้วยวิธีนี้ จะเป็นการตรวจด้วยการส่งคลื่นเสียงความถี่สูงไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ ในช่องท้องและสร้างภาพขึ้นมา ทำการตรวจโดยสูตินรีแพทย์ นอกจากจะช่วยตรวจดูว่ามีการตั้งครรภ์ ยังบอกตำแหน่งการตั้งครรภ์ว่า อยู่นอกมดลูกหรือไม่

  • ทราบอายุครรภ์
  • ตำแหน่งการตั้งครรภ์ ว่า ในมดลูก หรือนอกมดลูก
  • ที่ถุงน้ำ หรือซีสต์รังไข่หรือไม่
  • มดลูกมีก้อนเนื้องอกหรือไม่
  • ครรภ์แฝด
  • หลัง 4 เดือนไปแล้ว สามารถตรวจเพศของลูก และคัดกรองความพิการได้
  • ภาวะผิดปกติที่อาจเกิด เช่น รกเกาะต่ำ น้ำคร่ำมากหรือน้อยเกินไปเป็นต้น

 

ติดต่อ คลินิกสูตินรีเวช รพ. วิชัยเวชฯ อ้อมน้อย โทร. 02-441-7899 หรือ 1792
หรือติดต่อได้ผ่านช่องทาง Line
หรือสามารถตรวจเช็ค ตารางแพทย์ออกตรวจ เพื่อขอเข้ารับคำปรึกษาได้เลยค่ะ