โบท็อกซ์ คืออะไร
โบท็อกซ์ (Botox) คือ สารที่สกัดจากแบคทีเรียที่มีประโยชน์ สายพันธุ์เฉพาะที่มีชื่อว่า คลอสตริเดียม โบทูลินัม (Clostridium Botulinum) เป็นสารจากธรรมชาติที่เป็นโปรตีนบริสุทธิ์ ซึ่งจะช่วยคลายกล้ามเนื้อบริเวณที่หดตัว โดยหลังการฉีดโบท็อกซ์แล้วตัวยาจะจับตัวกับปลายเส้นประสาทที่เชื่อมต่อกับกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อส่วนนั้นคลายตัว ส่งผลให้ริ้วรอยลดเลือน เมื่อกล้ามเนื้อไม่เกร็งตัวแล้ว โบท็อกซ์ยังจะช่วยส่งผลปรับลดขนาดกล้ามเนื้อ ช่วยให้คุณแลดูอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้น
โบท็อกซ์ ถือเป็นหัตถการอันดับต้นๆที่นำมาใช้ปรับรูปหน้าเรียว ลดริ้วรอย ลดเหงื่อ ลดกลิ่นตัว ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในไทย ถึงแม้ว่าผลลัพธ์ที่ได้จะไม่ได้คงอยู่ถาวร แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่าการฉีดโบท็อกซ์นั้นทำให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงได้จริง ชัดเจน และระยะเวลาการเห็นผลค่อนข้างไว จึงทำให้หลายคนหันมาสนใจปรับรูปหน้า เพิ่มความเยาว์วัยด้วยการฉีดโบท็อกซ์กันเป็นจำนวนมาก
โบท็อกซ์ ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ? โบท็อกซ์มีคุณสมบัติมากมาย ดังนี้
- ลดขนาดกล้ามเนื้อให้เล็กลง
- ลดขนาดกรามให้ใบหน้าดูเรียวเล็กขึ้น
- ลดขนาดน่องให้ขาเรียวยาวสวย
- ลดขนาดปีกจมูกให้เล็กลงเห็นสันแกนจมูกชัดเจนขึ้น
- คลายขนาดกล้ามเนื้อที่หดตัวให้เรียบตึงขึ้น
- รอยย่นบริเวณหน้าผาก ตีนกา หางตา ระหว่างคิ้ว
- ผิวหนังบริเวณคอ มือ ที่เหี่ยวย่น โบท็อกซ์ช่วยให้ใบหน้ากลับมาเรียบเนียนและดูเด็กขึ้น
- ลิฟท์กรอบหน้า
- ยกกระชับใบหน้า ไม่ให้หย่อนคล้อย
- ช่วยให้กรอบหน้าชัดเจนยิ่งขึ้น
- ฉีดใต้วงแขน รักแร้
- ช่วยลดการทำงานของต่อมเหงื่อ ทำให้เหงื่อออกน้อยลง
- ระงับกลิ่นกายได้อีกด้วย
- รักษาโรคไมเกรนเรื้อรัง
- ระงับอาการปวดให้น้อยลง
- ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการผ่อนคลาย
- รักษาอาการตากระตุก
- ทำให้กล้ามเนื้อหยุดทำงานชั่วขณะ ช่วยลดอาการตากระตุกได้
ฉีดโบท็อกซ์ กี่วันถึงจะเห็นผล ?
- โบท็อกซ์ ลดริ้วรอย จะเห็นผลลัพธ์ที่ 2 สัปดาห์ โดยหลังฉีดไป 3 วันจะเริ่มรู้สึกตึงบริเวณที่ฉีด
- โบท็อกซ์ ลดกราม ลดน่อง จะเห็นผลลัพธ์ที่ 1 เดือน โดยจะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงในสัปดาห์ที่ 2 ขึ้นอยู่กับกล้ามเนื้อของแต่ละบุคคล
- โบท็อกซ์รักแร้ ลดกลิ่นกาย จะเห็นผลลัพธ์ที่ 1 เดือน
ฉีดโบท็อกซ์แล้วอยู่ได้นานแค่ไหน ?
ผลลัพธ์ของการฉีดโบท็อกซ์จะไม่ได้อยู่อย่างถาวร ซึ่งปกติแล้วโบท็อกซ์จะอยู่ได้นาน 4-8 เดือน โดยอายุการออกฤทธิ์ของโบท็อกซ์นั้น ขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยหลัก ดังนี้
- ยี่ห้อของโบท็อกซ์ที่ฉีด หากเลือกโบท็อกซ์ที่มีความบริสุทธิ์สูง จะอยู่ในร่างกายได้นานกว่า เพราะร่างกายจะทำลายโปรตีนที่จับกับโบท็อกซ์ โดยโบท็อกซ์ที่มีโปรตีนมากกว่าจะถูกทำลายได้ง่ายกว่าโบท็อกซ์ที่มีโปรตีนสูง
- ตำแหน่งที่ฉีด กล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น แขน ไหล น่อง จะมีปริมาณเส้นใยกล้ามเนื้อมาก ดังนั้นกล้ามเนื้อจึงกลับมาใช้งานได้เร็ว ระยะเวลาที่โบท็อกซ์ออกฤทธิ์จึงสั้นกว่า กล้ามเนื้อมัดเล็ก เช่น กราม หน้าผาก หางตา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณโบท็อกซ์ที่ใช้ ซึ่งต้องอยู่ในการประเมินโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์
เตรียมตัวให้พร้อมก่อนฉีดโบท็อกซ์
- ควรหยุดการใช้ยาแก้ปวด ยาแอสไพริน ยากลุ่มต้านการอักเสบ NSAIDS ได้แก่ Ibruprofen, Naproxen อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนการฉีด เพื่อป้องการอาการฟกช้ำ
- งดวิตามินที่ทำให้เลือดหยุดไหลยาก เช่น วิตามินอี น้ำมันปลา น้ำมันอิฟนิ่งพริมโรส สารสกัดจากโสม ขิง กระเทียม ใบแปะก๊วย เป็นเวลา 2 สัปดาห์
- งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมงก่อนการฉีด
- สุขภาพร่างกายอยู่ในสภาพปกติดี ไม่มีโรคประจำตัวร้ายแรง เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง และไม่ได้อยู่ในภาวะตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรอยู่
- ควรแจ้งให้แพทย์ผู้ฉีดทราบถึงปัญหาที่กังวลและสิ่งที่ต้องการในแต่ละส่วนอย่างชัดเจนก่อนฉีด เนื่องจากความต้องการที่ต่างกันไปตามแต่ละบุคคล เช่น บางท่านชอบให้ตึงมากๆ แต่บางท่านอาจชอบให้ดูเป็นธรรมชาติ แตกต่างกันไป
- หากเป็นไปได้ในวันฉีดควรล้างเครื่องสำอางหรือทำความสะอาดใบหน้าก่อนพบแพทย์ะกลับมาทำงานเพิ่มขึ้น ขนาดกล้ามเนื้อจะค่อยๆเพิ่มขึ้น ซึ่งขึ้นอยู่กับการใช้งาน หากใช้งานมากก็มีโอกาสสูงที่มัดกล้ามเนื้อจะมีขนาดกลับมาเท่าเดิม
ดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อกซ์ ให้ความสวยอยู่กับเราไปนานๆ
- หลังฉีดโบท็อกซ์งดนอนราบ เป็นเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการไหลของโบท็อกซ์
- งดการนวดกดจุดบริเวณที่ฉีด เป็นเวลา 1 เดือน
- หลีกเลี่ยงไม่ให้บริเวณที่ฉีดโดนความร้อนเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้ใบหน้าเกิดอาการ fushing เช่น ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์, ออกกำลังกายอย่างหนัก, อบซาวน่า, แช่น้ำอุ่น เนื่องจากความร้อนจะสลายตัวยาให้หมดสภาพเร็วขึ้น
- กรณีฉีดโบท็อกซ์บริเวณกราม หลังฉีดให้เคี้ยวหมากฝรั่ง 2 ข้างเท่าๆกัน โดยการสลับซ้ายขวา เป็นเวลา 30 นาที – 1 ชั่วโมง เพื่อให้ตัวยากระจายเข้ากล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดได้ดียิ่งขึ้น
- หลังฉีดโบท็อกซ์ได้ประมาณ 4 ชั่วโมง สามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ โดยจะมีรอยแดงจากเข็มและรอยนูนจากการฉีด ซึ่งจะหายไปเองภายในเวลา 1-2 ชั่วโมงหลังฉีด
- งดการทำทรีทเม้นท์ด้วยเครื่อง RF หรือเลเซอร์ 2 สัปดาห์ แต่สามารถทาครีมไม่ตามปกติ
อันตรายและผลข้างเคียงจากการฉีดโบท็อกซ์
ซึ่งโดยปกติทั่วไปแล้วโบท็อกซ์ของแท้ ผ่านอย. จะไม่ทิ้งสารตกค้างให้แก่ร่างกายของเรา แต่การฉีดโบท็อกซ์นั้นก็มีความเสี่ยงต่างๆที่จะตามมา จะเป็นผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้หลังจากการฉีดโบท็อกซ์ ดังนี้
- ติดเชื้อ เกิดจากการเลือกคลินิกที่ไม่สะอาด ไม่ได้มาตรฐาน อุปกรณ์ที่ใช้ในการฉีดไม่สะอาด รวมไปถึงเกิดจากหมอที่ฉีดไม่ใช่หมอจริงๆ ที่เคยได้ยินว่า หมอกระเป๋า นั่นเอง เพราะผู้ที่ไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์จะไม่รู้จัก Sterile technique (เทคนิคการทำให้ปราศจากเชื้อโรค) ซึ่งเป็นเทคนิคที่สำคัญในการป้องกันการติดเชื้อจากการทำหัตถการทุกชนิด
- ตาตก จะพบได้ในการฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอยระหว่างคิ้ว ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ใกล้เปลือกตาด้านบน ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณหนังตาอ่อนแรงและตกลงมาได้ หากฉีดไม่ถูกวิธีและใช้เทคนิคที่ไม่ปลอดภัย
- มุมปากเบี้ยว ยิ้มไม่สุด จะพบได้จากการฉีดโบท็อกซ์บริเวณกราม ซึ่งเกิดจากการกระจายตัวไปผิดจุดของโบท็อกซ์ จะเกิดได้ทั้งการยิ้มไม่ขึ้น แสดงสีหน้าได้ไม่ปกติ หรือเรียกกันว่า หน้าแข็ง นั่นเอง
โดยสาเหตุหลักการเกิดผลข้างเคียงจากการฉีดโบท็อกซ์ดังกล่าวมานี้ เกิดได้ด้วยกันหลายปัจจัยด้วยกัน ดังนี้
- ความไม่ชำนาญของแพทย์ หากไม่ใช่แพทย์จริงๆ หรือเป็นหมอกระเป๋า อาจเกิดความผิดพลาดในตำแหน่งที่ฉีดมีความคลาดเคลื่อนขึ้นได้
- คุณภาพของโบท็อกซ์ หากเป็นโบท็อกซ์ของแท้ ผ่านอย. ไม่ใช่ยาหิ้ว หรือยาที่ไม่ได้มาตรฐาน จะทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงน้อยกว่าโบท็อกซ์ของปลอม
- ปริมาณในการฉีด หรือเรียกว่ายูนิต ซึ่งการฉีดในปริมาณที่มากเกินไปจะทำให้เกิดอาการแข็งตึง จนไม่สามารถแสดงสีหน้าความรู้สึกได้ เช่น ยิ้มไม่สุด ไม่สามารถยกปากบนได้ ไม่สามารถยกคิ้วได้
- การไหลของโบท็อกซ์ เกิดได้จากการดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อกซ์ของคนไข้ เช่น การนอนราบหลังฉีดโบท็อกซ์ทันที ก็จะทำให้ตัวยากระจายไปในส่วนที่เราไม่ต้องการ จนเกิดผลข้างเคียงต่างๆตามมานั่นเอง นอกจากนี้ความ
- บริสุทธิ์ของโบท็อกซ์ ก็จะส่งผลให้เกิดการไหลของตัวยาได้เช่นเดียวกัน ยิ่งตัวยาที่มีความบริสุทธิ์มาก ความเสี่ยงในการไหลก็จะลดลงด้วย
ข้อห้ามในการฉีดโบท็อกซ์
ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถทำสวยได้ด้วยการฉีดโบท็อกซ์ ซึ่งบุคคลไม่สามารถฉีดโบท็อกซ์ได้ ดังนี้
- ผู้ที่มีอาการแพ้สาร Botulinum
- ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรอยู่
- ผู้ที่เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงรุนแรง
- ผู้ที่เป็นโรคเลือดออกแล้วหยุดยาก
บทความโดย
พญ.กิตธีรา ชัยสัมฤทธิ์ผล
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญอายรุกรรมโรคผิวหนังและความงาม ศูนย์ผิวหนังและศัลยกรรมเลเซอร์ รพ.วิชัยเวชฯ อ้อมน้อย
ติดต่อ ผิวหนังและศัลยกรรมเลเซอร์
รพ.วิชัยเวชฯ อ้อมน้อย 02-441-7899 หรือ 1792
ติดต่อผ่านช่องทางไลน์ได้ง่ายๆ Line
หรือสามารถตรวจเช็ค ตารางแพทย์ออกตรวจ เพื่อขอเข้ารับคำปรึกษาได้เลยค่ะ