การตรวจระดับวิตามินดี สำคัญอย่างไร

วิตามินดี พบได้ที่ไหนบ้าง

วิตามินดีพบได้ตามธรรมชาติจากแสงแดดยูวี (UV) และอาหารประเภทไขมันจากปลา น้ำมันตับปลา ตับ ข้าวโอ๊ต เห็ด ไข่แดง และชีส หรือการรับประทานอาหารเสริมที่มีวิตามินดีเป็นส่วนประกอบ

หากขาดวิตามินดีจะส่งผลอย่างไรกับร่างกาย

วิตามินดี มีหน้าที่ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม และฟอสสอรัส ซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญในการสร้างกระดูกและฟัน ซึ่งหากขาดวิตามินดี อาจจะก่อให้เกิดภาวะมวลกระดูกลดลง และอาจก่อให้เกิดโรคกระดูกบาง (osteopenia) และโรคกระดูกพรุน (osteoporosis) รวมถึงอาจก่อให้เกิดความบกพร่องทางระบบภูมิคุ้มกันและการเกิดมะเร็ง

โดยสามารถแบ่งแยกระบบที่ช่วยในการทำงานของร่างกายที่หลากหลาย

  • ระบบกระดูก ช่วยในการดูดซึมแร่ธาตุต่างๆ  (Increases bone mineralization)
  • ระบบลำไส้ ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม และฟอสฟอรัส (Increases absorption of Calcium and Phosphorus)
  • ระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยในการแบ่งตัวของเซลล์เม็ดเลือด (Induces differentiation)
  • ระบบหลอดเลือด ช่วยควบคุมการขยายตัวของหลอดเลือด (Improves vasodilation)
  • การเกิดมะเร็ง (Tumor microenvironment) มีหน้าที่ช่วยยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง (Inhibits proliferation) เหนี่ยวนำให้เกิดการแบ่งตัวของเซลล์ (Induces differentiation)  ยับยั้งไม่ให้มีการลำเลียงเลือดไปหล่อเลี่ยงเซลล์มะเร็ง (Inhibits angiogenesis)

ใครบ้างที่เสี่ยง ต่อการขาดวิตามินดี

  • บุคคลที่ไม่ค่อยได้รับแสงแดด ทั้งจากการหลีกเลี่ยงการออกแดด และจากการใช้ครีมกันแดดที่มีสาร (SPF) ที่มีผลทำให้ลดการดูดซึมแสงแดดสู่ผิวหนัง
  • ผู้ที่เป็นโรคตับอ่อน ตับอักเสบเรื้องรัง ทำให้การดูดซึมลดลง
  • ผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรัง ระยะ 3 – 4
  • ผู้สูงอายุที่ร่างกายเสื่อมลงตามธรรมชาติ และมีกิจกรรมกลางแจ้ง และออกแดดน้อยลง
  • ผู้ที่มีสีผิวเข้ม คล้ำ ซึ่งจะทำให้ผิวหนังผลิตวิตามินดีลดลง
  • ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน ไขมันในเลือดสะสมสูง
  • ผู้ที่มีโรคระบบลำไส้ ทำให้การดูดซึมลดลงและเริ่มมีปัญหา
  • ผู้ที่ไม่ได้รับวิตามินดีจากอาหารไม่เพียงพอ โดยอาหารที่มีวิตามินดีสูง ได้แก่ ปลาที่มีไขมันสูง เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาเทราต์ ปลาทูน่า ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล รวมไปถึง นม หรือ ซีเรียล

อาการขาดวิตามินดี

  • กระดูกพรุน
  • ปวดกล้ามเนื้อ
  • ภูมิคุ้มกันต่ำ
  • แผลหายช้า
  • ผมร่วง
  • ภาวะซึมเศร้า
  • ส่งผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด
  • เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย

ผลการตรวจวัดวิตามินดี (Vitamin D)

  • ระดับวิตามินดีในเลือด 25(OH)D น้อยกว่า 20 ng/mL ถือว่ามีภาวะขาดวิตามินดี
  • ระดับวิตามินดีในเลือด 25(OH)D อยู่ในช่วง 20-30 ng/mL ถือว่ามีภาวะพร่องวิตามินดี
  • ระดับวิตามินดีในเลือด 25(OH)D มากกว่า 30 ng/mL ถือว่ามีระดับวิตามินดีพอเพียง

ภาวะพร่อง หรือขาดวิตามินดี  (Vitamin D insufficiency or deficiency) แสดงว่าร่างกายอาจอยู่ภาวะวิตามินดีต่ำกว่าค่าปกติ อาจส่งผลต่อการดูดซึมแคลเซียม และฟอสฟอรัส ซึ่งหากดูดซึมแร่ธาตุดังกล่าวน้อย อาจก่อให้เกิดภาวะมวลกระดูกลดลง

โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ช่วงวัย

  1. เด็กแรกเกิด หรือเด็กทารก หากพบว่าระดับวิตามินดีต่ำกว่าค่าปกติ จะมีความเสี่ยงที่อาจเกิดโรค Rickets disease หรือเรียกว่าโรคกระดูกอ่อน
  2. ในผู้ใหญ่ อาจก่อให้เกิดโรค Osteomalacia หรือเรียกว่าโรคกระดูกนิ่ม ได้ แต่หากผลการตรวจวัดระดับวิตามินดีได้ค่า มากกว่า 30 ng/mL ไม่มีอันตรายแต่อย่างใด

ผู้ที่มีภาวะขาดหรือพร่องวิตามินดีควรปฏิบัติตัวอย่างไร

  • ออกสัมผัสแสงแดดให้มากขึ้น โดยสามารถทำกิจกรรมกลางแจ้ง ที่ได้รับแสงแดด อย่างน้อย 15 นาที ซึ่งแสงแดดจะช่วยเปลี่ยนคอเลสเตอรอลในร่างกายไปเป็นวิตามินดี
  • รับประทานอาหารที่มีวิตามินดีสูง ได้แก่ ตับ ไข่แดง น้ำมันตับปลา เห็ด ปลาที่มีไขมันสูง เช่น ปลาทูน่า แมคเคอเรลแซลมอน
  • การรับประทานวิตามินดีเสริม ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้เลือกใช้วิตามินดีเสริม โดยประเภทของวิตามินดีจะขึ้นอยู่กับสภาวะและความเหมาะสมในผู้ป่วยแต่ละราย
  • เข้าพบแพทย์เพื่อตรวจวัดระดับวิตามินดีในร่างกายอย่างสม่ำเสมอ

เมื่อมีภาวะขาดวิตามินดี ต้องทำการรักษาอย่างไร

ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวัดระดับวิตามินดีในเลือดก่อนทานวิตามินเสริม เนื่องจากหากเรารับประทานวิตามินดีในปริมาณมาก เกินความต้องการอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ในปริมาณมากกว่า 20,000 IU ต่อวัน แทนที่จะเกิดประโยชน์ ก็อาจทำให้เกิดโทษและเป็นอันตรายต่อสุขภาพเราได้เช่นกัน

บทความโดย
ทนพญ. วรวลัญช์ ทองคำ
หน้าหน้าแผนกปฏิบัติการเทคนิคการแพทย์ รพ.วิชัยเวช อ้อมน้อย

 

รพ.วิชัยเวชฯ​ อ้อมน้อย
02-441-7899  ต่อ 1111 , 3124 หรือ1792
ติดต่อผ่านช่องทางไลน์ได้ง่ายๆ  Line
สามารถตรวจเช็ค ตารางแพทย์ออกตรวจ เพื่อขอเข้ารับคำปรึกษาได้เลยค่ะ