มะเร็งตับ ถือเป็นภัยร้ายที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับที่ 1 ของคนไทย มักพบในคนอายุ 30-70 ปี พบได้ในเพศชายมากกว่าเพศหญิง 2-3 เท่า โดยเพศชายมีความเสี่ยงมากกว่าเพศหญิง นพ.ศิษฎา หาญสุรนันท์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญศูนย์อายุรกรรม และคลินิกมะเร็ง รพ.วิชัยเวชฯ อ้อมน้อย ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคมะเร็งตับแบบเข้าใจง่าย ๆ
มะเร็งตับ คืออะไร?
มะเร็งตับ คือ มะเร็งที่เกิดจากเซลล์ในเนื้อตับ ที่เติบโตขึ้นโดยที่ไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งมีโอกาสที่จะเติบโตเพิ่มขึ้น และแพร่กระจายต่อไปได้ ซึ่งมะเร็งตับ สามารถแยกย่อยได้เป็น 2 ประเภท
- 75% เป็นมะเร็งตับชนิดเซลล์ตับ เป็นโรคมะเร็งที่เกิดขึ้นในเนื้อตับ พบได้มากที่สุด เกิดจากเซลล์ตับที่มีการเจริญเติบโตผิดปกติ จนกลายเป็นเนื้อร้าย
- อีก 25% จะเป็นมะเร็งตับชนิดท่อน้ำดี เป็นเนื้องอกที่เกิดจากเซลล์บุท่อน้ำดีเจริญเติบโตผิดปกติ สาเหตุมาจากโรคพยาธิใบไม้ในตับ พบได้บ่อยทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือภาคอีสาน รวมถึงการรับประทานอาหารบางชนิที่มีสารก่อมะเร็ง เช่น สารดินประสิว ที่มีอยู่ในอาหารประเภทหมัก และอาหารรมควัน
ความรุนแรงของโรคมะเร็งตับ
แม้มะเร็งตับจะไม่ใช่มะเร็งที่พบได้บ่อยที่สุด แต่มะเร็งตับเป็นโรคถือเป็นสาเหตุการสียชีวิตอันดับ 1 ทั้งเพศชายและเพศหญิง ปี 2018 มะเร็งตับถือเป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยอันดับ 6 ของโลก มีผู้ป่วยมะเร็งตับรายใหม่กว่า 840,000 ราย และมีผู้เสียชีวิตจากมะเร็งตับถึงกว่า 780,000 ราย ถือเป็นโรคมะเร็งที่มีอัตราการเสียชีวิตที่สูงมาก
ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งตับ
- ปัจจัยเสี่ยงอันดับ 1 ที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งตับ คือ ตับแข็ง ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะตับแข็ง
- การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ไม่ว่าจะเป็นไวรัสตับอักเสบบี,ไวรัสตับอักเสบซี ส่วนใหญ่ร้อยละ 75-80 ของผู้ป่วยมะเร็งตับ เกิดในผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ โดยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี อยู่ที่ร้อยละ 50-55 และไวรัสตับอักเสบซี ร้อยละ 25-30 โดยผู้ที่เป็นพาหะของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับสูงมากกว่าคนที่ไม่เป็นโรคนี้ถึง 100-400 เท่า
- การดื่มสุรา หรือแอลกอฮอล์ มีการศึกษาพบว่า ถ้าดื่มแอลกอฮอล์ 41-80 กรัมต่อวัน จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับ 1.5 เท่า และถ้าดื่มแอลกอฮอล์มากกว่า 80 กรัมต่อวัน จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับสูงขึ้น 7.3 เท่า เทียบกับผู้ที่ไม่ได้ดื่ม หรือดื่มน้อยกว่า 40 กรัมต่อวัน
- ภาวะอ้วน หรือมีภาวะไขมันเกาะตับ
- สารอะฟลาทอกซิน เกิดจากเชื้อรอบางชนิด จะพบในอาหารประเภทถั่ว ข้าวโพด พริกแห้ง ผู้ที่ตรวจพบว่ามีสารอะฟลาทอกซิน จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ 5-9 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ที่ตรวจไม่พบสาร อะฟลาทอกซินในร่างกาย
กลุ่มเสี่ยงที่อาจเกิดโรคมะเร็งตับ
- ผู้ป่วยโรคตับแข็ง ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
- ผู้ป่วยโรคตับอักเสบเรื้อรัง ที่เกิดจากไวรัสตับอักเสบบี
- ผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ตั้งแต่แรกคลอด หรือตั้งแต่เด็ก
- ผู้ชายที่มีอายุมากกว่า 45 ปี และผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 50 ปี
- ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็ง
- ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง รวมถึงผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซีที่รักษาจนหายแล้ว
โรคมะเร็งตับในระยะเริ่มแรกจะยังไม่มีอาการบ่งบอก จนกระทั่งก้อนมะเร็งเริ่มขยาย ร่างกายไม่สามารถรักษาสภาพสมดุลได้ ทำให้มีความผิดปกติของตับ อาการแสดงที่เกิดขึ้น
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ตัวเหลือง ตาเหลือง
- จุกเสียดท้อง ท้องอืด
- ท้องโต
- เบื่ออาหาร
- อ่อนเพลีย
- คลื่นไส้ อาเจียน
- เจ็บช่องท้องส่วนบน
- เลือดออกทางเดินอาหาร
หากมีอาการเหล่านี้ หรือมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งตับ ควรรีบพบแพทย์ เพื่อเข้ารับการวินิจฉัย และเข้ารับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมต่อไป
การตรวจคัดกรองมะเร็งตับ มีวิธีใดบ้าง
วิธีการคัดกรองมะเร็งตับที่เหมาะสม ควรต้องมีการอัลตราซาวด์ (Ultrasound) การตรวจเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์ การตรวจเอกซ์เรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า โดยอาจใช้การฉีดสารทึบแสงร่วมด้วย เพื่อเพิ่มความแม่ยำในการวินิจฉัย ร่วมกับมีการเจาะเลือดค่ามะเร็งที่เรียกว่า AFP (Alfa-fetoprotein) ทุก 6-12 เดือน โดยคนไข้ที่แนะนำให้เข้ารับการตรวจเป็นพิเศษ ได้แก่ ผู้ป่วยโรคตับแข็ง
มะเร็งตับรักษาอย่างไร
การรักษามะเร็งตับ ทำได้หลายวิธี
- ในช่วงเริ่มแรกที่ก้อนมะเร็งยังไม่โตมาก และสุขภาพตับของคนไข้ยังดีอยู่ สามารถทำได้โดยการผ่าตัด
- หรือหากสุขภาพตับของคนไข้ไม่ดี แพทย์อาจจะเลือกวิธีการรักษาตั้งแต่การจี้ไฟฟ้า Radio Frequency Ablation , การอุดเส้นเลือด Embolization
- หรือคนไข้ที่มีอาการรุนแรง หรือมีการแพร่กระจาย แพทย์อาจจะประเมินเรื่องการใช้ยา ไม่ว่าจะเป็น ยามุ่งเป้า หรือยากระตุ้นภูมิคุ้มกัน
ดูแลตัวเองอย่างไร ลดเสี่ยง เลี่ยงมะเร็งตับ
- ควรดูแลตัวเองเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะตับแข็ง
- ลด ละ เลิกการดื่มเหล้า เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือสูบบุหรี่
- รับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารอะฟลาทอกซินปนเปื้อน
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- ตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเช็คว่ามีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีอยู่ในร่างกายหรือไม่
- สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงตับแข็ง ภาวะไขมันเกาะตับ ควรพบแพทย์และเข้ารับการตรวจรักษาอย่างสม่ำเสมอ
สำหรับผู้ที่เป็นมะเร็งตับ หรือมีญาติ หรือคนรู้จักเป็นมะเร็งตับ สามารถขอเข้ารับคำปรึกษาที่คลินิกมะเร็งสู่ขั้นตอนการรักษาได้อย่างทันท่วงที ซึ่งแพทย์จะให้คำปรึกษา และวางแนวทางการรักษาที่เหมาะสมและคุ้มค่าที่สุด
ติดต่อ คลินิกมะเร็ง ศูนย์อายุรกรรม
รพ.วิชัยเวชฯ อ้อมน้อย 02-441-7899 ต่อ 1111 , 3124
หรือ1792 /ติดต่อผ่านช่องทางไลน์ได้ง่ายๆ Line
หรือสามารถตรวจเช็ค ตารางแพทย์ออกตรวจ เพื่อขอเข้ารับคำปรึกษาได้เลยค่ะ