รู้เร็วรอดไว! เจาะลึกการวินิจฉัยโรคหลอดเลือดสมอง STROKE

โดย นพ.วิศิษฎ์ ลีลาศวัฒนกิจ
แพทย์อายุรกรรมระบบประสาท

โรคหลอดเลือดสมอง: ภัยเงียบที่อาจเปลี่ยนชีวิตในพริบตา
ลองจินตนาการว่าคุณกำลังใช้ชีวิตปกติ แล้วจู่ ๆ ก็รู้สึกแขนขาอ่อนแรง พูดไม่ชัด หรือเวียนศีรษะรุนแรงจนทรงตัวไม่อยู่ อาการเหล่านี้อาจไม่ใช่แค่อาการอ่อนเพลียทั่วไป แต่เป็น สัญญาณของโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ต้องแข่งกับเวลา การวินิจฉัยที่รวดเร็วและแม่นยำสามารถช่วยลดความเสียหายของสมอง และเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้กับผู้ป่วยอย่างมหาศาล

โรคหลอดเลือดสมองคืออะไร?

โรคหลอดเลือดสมองเกิดจากภาวะที่สมองขาดเลือดไปเลี้ยง ส่งผลให้เซลล์สมองเริ่มตายลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้จาก 3 สาเหตุหลัก ได้แก่

  • หลอดเลือดตีบ (Ischemic Stroke) เกิดจากการสะสมของไขมันและคราบหินปูนในหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
  • หลอดเลือดอุดตัน (Embolic Stroke) เกิดจากลิ่มเลือดที่หลุดจากหัวใจหรืออวัยวะอื่น ๆ แล้วไปอุดตันหลอดเลือดสมอง
  • หลอดเลือดแตก (Hemorrhagic Stroke) เกิดจากการแตกของหลอดเลือดในสมอง ทำให้เลือดไหลออกและกดทับเนื้อสมอง

การวินิจฉัยโรคหลอดเลือดสมอง: แข่งกับเวลาเพื่อรักษาชีวิต

เมื่อนำตัวผู้ป่วยมาถึงโรงพยาบาล ทีมแพทย์ต้องวินิจฉัยให้ได้อย่างรวดเร็วที่สุด เพื่อกำหนดแนวทางรักษาที่เหมาะสม ขั้นตอนที่สำคัญ ได้แก่

  1. ซักประวัติและตรวจร่างกายเบื้องต้น
    แพทย์จะสอบถามว่าอาการของผู้ป่วยเริ่มขึ้นเมื่อใด และมีอาการอย่างไร จากนั้นจะทำการตรวจระบบประสาท เช่น การตอบสนองของกล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหว และการพูด เพื่อประเมินความรุนแรงของโรค
  2. การประเมินระดับความรุนแรงของโรค
    แพทย์มักใช้แบบประเมิน NIH Stroke Scale (NIHSS) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลในการวัดระดับความรุนแรงของโรค โดยพิจารณาจากอาการทางระบบประสาท เช่น การควบคุมกล้ามเนื้อ การพูด และระดับความรู้สึกตัวของผู้ป่วย
  3. การตรวจเลือดเพื่อหาปัจจัยเสี่ยง
    การตรวจเลือดช่วยวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยง เช่น

    • ระดับน้ำตาลในเลือด เพราะภาวะน้ำตาลต่ำหรือสูงอาจทำให้เกิดอาการคล้ายโรคหลอดเลือดสมอง
    • การแข็งตัวของเลือด เพื่อตรวจหาความผิดปกติที่อาจเป็นสาเหตุของลิ่มเลือด
    • ระดับไขมันในเลือด ซึ่งอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงของภาวะอุดตันในหลอดเลือด
  4. การตรวจภาพสมอง: หัวใจสำคัญของการวินิจฉัย
    การตรวจภาพสมองเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้แพทย์สามารถแยกแยะว่าเป็นภาวะสมองขาดเลือดหรือมีเลือดออกในสมอง ซึ่งมีผลต่อแนวทางการรักษาโดยตรง

  5. การตรวจหลอดเลือดสมอง (Vascular Imaging)
    หากแพทย์สงสัยว่ามีการอุดตันของหลอดเลือดสมอง อาจต้องทำ

    • CT Angiography (CTA) หรือ
    • MR Angiography (MRA)
      เพื่อดูโครงสร้างของหลอดเลือดสมอง และระบุจุดที่อุดตันได้อย่างแม่นยำ
  6. การตรวจหัวใจเพื่อหาต้นเหตุของลิ่มเลือด
    ในบางกรณี ลิ่มเลือดที่ทำให้เกิดภาวะสมองขาดเลือดอาจมาจากหัวใจ แพทย์อาจทำ

    • คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG)
    • Echocardiography (อัลตราซาวด์หัวใจ)
      เพื่อตรวจหาความผิดปกติของหัวใจที่อาจทำให้เกิดลิ่มเลือดหลุดไปอุดตันหลอดเลือดสมอง

ทำไมต้องรีบวินิจฉัยให้เร็วที่สุด?

เพราะ “ทุกนาทีที่เสียไป สมองจะเสียหายเพิ่มขึ้น” การรักษาที่รวดเร็วสามารถช่วยลดความเสียหายของสมอง และเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้ผู้ป่วย หากได้รับการรักษาเร็ว เช่น

  • การให้ยาละลายลิ่มเลือด (rtPA) ภายใน 4.5 ชั่วโมงแรก หลังเกิดอาการ จะช่วยสลายลิ่มเลือดและลดความรุนแรงของโรค
  • การทำหัตถการ Thrombectomy ใช้สายสวนเพื่อดึงลิ่มเลือดออกจากหลอดเลือดสมอง สามารถทำได้ภายใน 6-24 ชั่วโมงแรก ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ

อย่าชะล่าใจ รีบตรวจ รีบรักษา

โรคหลอดเลือดสมองสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีอาการผิดปกติที่สงสัยว่าเป็นโรคหลอดเลือดสมอง รีบไปโรงพยาบาลทันที เพราะทุกนาทีที่ผ่านไปอาจหมายถึงชีวิตและอนาคตที่เปลี่ยนไปตลอดกาล

การวินิจฉัยโรคหลอดเลือดสมองต้องเร็วและแม่นยำ

  • โรคหลอดเลือดสมองเกิดจากสมองขาดเลือดไปเลี้ยง ซึ่งต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน
  • ขั้นตอนการวินิจฉัยประกอบด้วย การตรวจร่างกาย การตรวจเลือด การตรวจภาพสมอง และการตรวจหลอดเลือด
  • การรักษาที่รวดเร็ว เช่น การให้ยาละลายลิ่มเลือดหรือการทำ Thrombectomy สามารถช่วยชีวิตและลดความพิการระยะยาว

หากพบอาการของโรคหลอดเลือดสมอง อย่ารอช้า รีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยที่แม่นยำและรักษาทันท่วงที เพราะเวลาคือสมอง และสมองคือชีวิต

ติดต่อ ศูนย์ระบบโรคหลอดเลือดสมอง 
รพ. วิชัยเวชฯ อ้อมน้อย
โทร. 02-441-7899 หรือ 1792
หรือติดต่อได้ผ่านช่องทาง 
Line
หรือสามารถตรวจเช็ค 
ตารางแพทย์ออกตรวจ เพื่อขอเข้ารับคำปรึกษาได้เลยค่ะ