เริม คืออะไร? รู้ทันสาเหตุ อาการ และวิธีรักษาให้หายเร็วที่สุด

“เริม” คือโรคผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสในกลุ่ม Herpes Simplex Virus (HSV) ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ

  • HSV-1 มักพบในรูปแบบเริมบริเวณริมฝีปาก ใบหน้า หรือปาก
  • HSV-2 มักพบในรูปแบบเริมที่อวัยวะเพศ

เชื้อไวรัสชนิดนี้อยู่ในร่างกายได้ตลอดชีวิต แม้จะไม่มีอาการ และสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้หากภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง เช่น เครียด พักผ่อนไม่พอ หรือมีไข้

สาเหตุของการเกิดเริม

เริมเกิดจากการสัมผัสเชื้อไวรัสจากของเหลวในตุ่มน้ำใสหรือจากผิวหนังที่ติดเชื้อโดยตรง โดยมีสาเหตุหลัก ๆ ดังนี้

  • การจูบ หรือใช้สิ่งของร่วมกับผู้ติดเชื้อ เช่น แก้วน้ำ ลิปสติก ผ้าเช็ดหน้า
  • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน โดยเฉพาะเริมอวัยวะเพศ
  • ภูมิคุ้มกันต่ำจากความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือเจ็บป่วย
  • การสัมผัสตุ่มน้ำที่แตกของผู้ติดเชื้อ
  • การติดเชื้อครั้งแรกในวัยเด็กโดยไม่รู้ตัว

อาการของโรคเริม

อาการของเริมจะแตกต่างกันตามตำแหน่งและความรุนแรง โดยแบ่งเป็น 2 ระยะ

ระยะเริ่มต้น

  • แสบร้อน คัน บริเวณที่จะเกิดตุ่ม
  • ปวดหรือระบมเล็กน้อย
  • มีอาการคล้ายไข้ เช่น ปวดหัว ปวดเมื่อย

ระยะที่มีตุ่มน้ำ

  • มีตุ่มน้ำใสเล็ก ๆ ขึ้นเป็นกลุ่ม
  • เมื่อแตกจะกลายเป็นแผลตื้น ๆ แสบ ๆ
  • อาจพบแผลบริเวณริมฝีปาก อวัยวะเพศ หรือนิ้วมือ

แผลจากเริมมักหายได้เองภายใน 7–14 วัน แต่มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้

เริมอันตรายไหม?

โดยทั่วไป “เริมไม่ใช่โรคอันตรายถึงชีวิต”
แต่หากเป็นในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV หญิงตั้งครรภ์ หรือทารกแรกเกิด อาจเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น เริมกระจายทั่วร่างกาย เริมที่ดวงตา หรือเข้าสู่สมอง

วิธีการรักษาเริมให้หายเร็วที่สุด

แม้โรคเริมไม่สามารถรักษาให้หายขาด 100% ได้ แต่สามารถรักษาให้ตุ่มแผลหายเร็วขึ้น และลดความถี่ในการกลับมาเป็นซ้ำได้

  1. ยาต้านไวรัส
  • เช่น Acyclovir, Valacyclovir หรือ Famciclovir
  • ยิ่งเริ่มกินเร็ว (ตั้งแต่เริ่มมีอาการคันหรือแสบ) ยิ่งได้ผลดี
  • ในบางรายที่เป็นซ้ำบ่อย แพทย์อาจให้กินแบบป้องกันทุกวัน
  1. ยาทาเฉพาะที่
  • ใช้ควบคู่กับยากิน เพื่อบรรเทาอาการแสบร้อน
  • ควรหลีกเลี่ยงการทายาหลายชนิดพร้อมกัน
  1. การดูแลตัวเอง
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผลเริม
  • พักผ่อนให้เพียงพอ ลดเครียด และเสริมภูมิคุ้มกัน
  • หลีกเลี่ยงอาหารกระตุ้น เช่น ช็อกโกแลต ถั่ว กาแฟ ในช่วงที่มีอาการ

การป้องกันเริมไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ

  • หลีกเลี่ยงการใช้ของร่วมกับผู้อื่น
  • ใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์
  • ไม่สัมผัสแผลเริมโดยตรง
  • พักผ่อนให้เพียงพอ และดูแลสุขภาพร่างกายสม่ำเสมอ

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q: จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นเริม?
A: อาการของเริมมักเริ่มจากรู้สึกคัน แสบ หรือระคายเคืองบริเวณที่จะเกิดตุ่ม แล้วตามด้วยตุ่มน้ำใสเล็ก ๆ ขึ้นเป็นกลุ่ม ตำแหน่งที่พบบ่อย ได้แก่ ริมฝีปาก อวัยวะเพศ และนิ้วมือ

Q: เชื้อเริมอยู่ได้นานแค่ไหน?
A: เชื้อไวรัสเริม (HSV) จะฝังตัวอยู่ในร่างกายตลอดชีวิต แม้ตุ่มแผลจะหายแล้วก็ตาม และอาจกลับมาแสดงอาการซ้ำได้ในช่วงที่ร่างกายอ่อนแอ เช่น ช่วงมีไข้ เครียด หรือพักผ่อนน้อย

Q: เริมเกิดจากอะไร? พักผ่อนน้อยเกี่ยวไหม?
A: เริมเกิดจากการติดเชื้อ Herpes Simplex Virus ซึ่งติดต่อได้จากการสัมผัสโดยตรงกับตุ่มน้ำหรือผิวที่มีเชื้อ การพักผ่อนน้อย เครียด หรือภูมิคุ้มกันต่ำสามารถกระตุ้นให้เชื้อที่แฝงอยู่แสดงอาการอีกครั้ง

Q: เริมสามารถหายเองได้หรือไม่?
A: โดยทั่วไปเริมสามารถหายได้เองใน 7–14 วัน หากอาการไม่รุนแรง แต่ในบางรายที่เป็นบ่อยหรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ ควรพบแพทย์เพื่อรับยาต้านไวรัสเพื่อลดระยะเวลาการเจ็บและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ

ปรึกษาอาการ “เริม” ได้ที่ศูนย์อายุรกรรม 24 ชม. รพ.วิชัยเวชฯ อ้อมน้อย หากคุณสงสัยว่ามีอาการเริม หรือเป็นซ้ำบ่อย ไม่แน่ใจว่าใช่โรคผิวหนังชนิดไหน
-ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางได้ทันที
-พร้อมบริการตรวจ วินิจฉัย และรักษา
-เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง

ดูข้อมูลศูนย์อายุรกรรม 

ศูนย์อายุรกรรม โรงพยาบาลวิชัยเวชฯ อ้อมน้อย
ดูแลโดยทีมแพทย์เฉพาะทาง ใกล้บ้านคุณ
โทร: 02-441-7899 หรือ 1792
📍แผนที่: ใกล้พุทธมณฑล – หนองแขม – อ้อมน้อย
📲 นัดหมายออนไลน์ผ่าน LINE คลิกที่นี่