เมื่อคุณพบก้อนเนื้อในร่างกาย ความกังวลใจว่าอาจเป็นเนื้องอกหรือมะเร็งอาจทำให้คุณไม่สบายใจ การไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นอะไรหรือมีอันตรายเพียงใดมักเป็นสิ่งที่สร้างความกังวลมากที่สุด บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจว่าเนื้องอกและมะเร็งมีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อให้คุณได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับสุขภาพของคุณได้ดีขึ้น
เนื้องอกคืออะไร?
เนื้องอก คือ ก้อนเนื้อที่เกิดจากการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่:
- เนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรง (Benign Tumor):
- เจริญเติบโตช้า
- ไม่ลุกลามไปยังอวัยวะอื่น
- สามารถรักษาให้หายขาดได้
- มักไม่เป็นอันตราย ยกเว้นเมื่อกดทับอวัยวะสำคัญ
- ตัวอย่างของเนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรง เช่น เนื้องอกในมดลูก (Fibroid) หรือเนื้องอกใต้ผิวหนัง (Lipoma) ซึ่งส่วนใหญ่สามารถรักษาได้โดยการผ่าตัดออก
- เนื้องอกชนิดร้ายแรง (Malignant Tumor) หรือมะเร็ง:
- เจริญเติบโตและลุกลามรวดเร็ว
- สามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น
- อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
- เซลล์มะเร็งมีความสามารถในการรุกรานไปยังเนื้อเยื่อข้างเคียงและสามารถเข้าไปในระบบเลือดหรือระบบน้ำเหลือง เพื่อแพร่กระจายไปยังอวัยวะต่าง ๆ เช่น ปอด ตับ หรือกระดูก
มะเร็งคืออะไร?
มะเร็ง คือ ความผิดปกติของเซลล์ที่เจริญเติบโต แบ่งตัว และลุกลามอย่างรวดเร็ว ไม่สามารถควบคุมได้ เซลล์มะเร็งสามารถแพร่กระจายผ่านระบบเลือด ระบบน้ำเหลือง หรือการลุกลามโดยตรง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้มะเร็งมีความรุนแรงและยากต่อการรักษา
สาเหตุของเนื้องอกและมะเร็ง
- พันธุกรรม: หากมีประวัติคนในครอบครัวเป็นเนื้องอกหรือมะเร็ง ความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้อาจเพิ่มขึ้น เช่น มะเร็งเต้านม หรือมะเร็งลำไส้ใหญ่
- การติดเชื้อ: การติดเชื้อบางชนิดสามารถกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ เช่น ไวรัสตับอักเสบชนิดบีและซีที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งตับ หรือเชื้อ HPV ที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งปากมดลูก
- สารก่อมะเร็ง: สารเคมีบางชนิดมีความเสี่ยงในการกระตุ้นให้เกิดมะเร็ง เช่น สารทาร์ในบุหรี่ที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งปอด แอลกอฮอล์ที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งตับ และช่องปาก รวมถึงสารประกอบในอาหารปิ้งย่างที่อาจทำให้เกิดมะเร็งทางเดินอาหาร
- รังสี: รังสี UV จากแสงแดดสามารถทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีการสัมผัสแสงแดดเป็นเวลานานโดยไม่มีการป้องกัน เช่น การใช้ครีมกันแดด
- ฮอร์โมน: การใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนในระยะยาวอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านม หรือมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
- ภูมิคุ้มกันบกพร่อง: ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV มีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งบางชนิดมากขึ้น
- พฤติกรรมการใช้ชีวิต: การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ไม่มีผักผลไม้ การไม่ออกกำลังกาย การมีน้ำหนักเกิน และการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ล้วนเป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง
อาการที่ควรสังเกต
เนื้องอกและมะเร็งมีอาการที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิด ตำแหน่ง และระยะของโรค เช่น:
- คลำพบก้อนเนื้อ: เช่น ก้อนที่เต้านม ใต้ผิวหนัง หรือในส่วนอื่นของร่างกาย ก้อนที่มีลักษณะแข็ง ไม่เจ็บ และเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ควรรีบพบแพทย์
- เลือดออกผิดปกติ: อาการเช่น ไอเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด หรือปัสสาวะเป็นเลือด อาจบ่งบอกถึงการมีเนื้องอกหรือมะเร็งในอวัยวะที่เกี่ยวข้อง
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ: การลดน้ำหนักที่ไม่เกี่ยวข้องกับการควบคุมอาหารหรือการออกกำลังกาย อาจเป็นสัญญาณของมะเร็ง
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย: หากมีอาการอ่อนเพลียอย่างต่อเนื่อง แม้พักผ่อนเพียงพอ ควรปรึกษาแพทย์
- เบื่ออาหาร มีไข้ หรือเจ็บปวด: อาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นจากการมีเนื้องอกหรือมะเร็งที่เริ่มลุกลามไปยังอวัยวะต่าง ๆ
วิธีวินิจฉัย: รู้ได้อย่างไรว่าเป็นเนื้องอกหรือมะเร็ง?
- การตรวจร่างกาย: แพทย์จะซักประวัติและตรวจร่างกายเพื่อตรวจหาความผิดปกติที่เกิดขึ้น เช่น ก้อนเนื้อ หรืออาการแสดงที่ผิดปกติ
- การตรวจเลือด: ตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็ง (Tumor Markers) ซึ่งเป็นสารที่เซลล์มะเร็งปล่อยออกมาในกระแสเลือด แต่สารเหล่านี้ไม่ได้บ่งบอกถึงมะเร็งเสมอไป จำเป็นต้องใช้ร่วมกับการตรวจอื่น ๆ
- การถ่ายภาพ: การถ่ายภาพเช่น เอกซเรย์, CT Scan, MRI หรืออัลตราซาวด์ สามารถช่วยตรวจหาความผิดปกติในร่างกาย เช่น ก้อนเนื้อ หรือการลุกลามของมะเร็ง
- การส่องกล้อง: เช่น การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy)หรือการส่องกล้องตรวจระบบทางเดินอาหารส่วนต้น การส่องกล้องช่วยให้แพทย์สามารถดูภายในอวัยวะและตัดชิ้นเนื้อเพื่อตรวจได้
- การตัดชิ้นเนื้อ (Biopsy) เป็นการนำตัวอย่างเนื้อเยื่อจากก้อนที่สงสัยไปตรวจในห้องปฏิบัติการ เพื่อยืนยันว่าเป็นเนื้องอกหรือมะเร็ง วิธีนี้เป็นวิธีเดียวที่สามารถยืนยันได้แน่นอน
การตัดชิ้นเนื้อเป็นวิธีเดียวที่สามารถยืนยันได้แน่นอนว่าเป็นเนื้องอกชนิดใด การวินิจฉัยที่ถูกต้องจะช่วยให้สามารถรักษาได้ตรงจุดและเพิ่มโอกาสในการหายขาดจากโรคได้มากขึ้น
การรักษาเนื้องอกและมะเร็ง
- การผ่าตัด: เป็นวิธีการรักษาหลักสำหรับเนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรงและมะเร็งในระยะแรก แพทย์จะผ่าตัดเอาก้อนเนื้อออกเพื่อป้องกันการลุกลาม
- การฉายรังสี: ใช้รังสีในการทำลายเซลล์มะเร็ง เป็นวิธีที่ใช้ร่วมกับการผ่าตัดหรือเคมีบำบัด เพื่อกำจัดเซลล์มะเร็งที่เหลืออยู่
- เคมีบำบัด (Chemotherapy) https://vichaivej-omnoi.com/health-info/%e0%b8%a2%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%84%e0%b8%a1%e0%b8%b5%e0%b8%9a%e0%b8%b3%e0%b8%9a%e0%b8%b1%e0%b8%94: ใช้ยาในการฆ่าเซลล์มะเร็ง ยาเคมีบำบัดสามารถแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย เพื่อจัดการกับเซลล์มะเร็งที่อาจกระจายไปยังอวัยวะอื่น
- การรักษาด้วยฮอร์โมน: ในกรณีของมะเร็งที่เกิดจากการตอบสนองของฮอร์โมน เช่น มะเร็งเต้านมหรือมะเร็งต่อมลูกหมาก การใช้ยาที่ปรับฮอร์โมนสามารถช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้
- การรักษาด้วยภูมิคุ้มกัน (Immunotherapy): ใช้ยาหรือวิธีการที่ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง
การรู้จักเนื้องอกและมะเร็งจะช่วยให้เราดูแลสุขภาพของตัวเองได้ดีขึ้น การตรวจสุขภาพเป็นประจำและสังเกตอาการผิดปกติจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันและรักษาเนื้องอกหรือมะเร็งตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม หากพบอาการที่น่าสงสัย ควรปรึกษาแพทย์ทันที การรักษาที่ทันเวลาและเหมาะสมสามารถเพิ่มโอกาสในการหายขาดจากโรคและช่วยให้คุณมีชีวิตที่ยืนยาวและสุขภาพดี
คลินิกมะเร็ง โรงพยาบาลวิชัยเวชฯ อ้อมน้อย พร้อมให้การดูแลผู้ป่วยมะเร็งทุกท่าน ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและการบริการที่เป็นมิตร เราเข้าใจถึงความกังวลและความต้องการของผู้ป่วย และพร้อมจะอยู่เคียงข้างคุณในทุกขั้นตอนของการรักษา เพื่อให้คุณได้รับการดูแลที่ดีที่สุดและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ติดต่อ คลินิกมะเร็ง ศูนย์อายุรกรรม
รพ.วิชัยเวชฯ อ้อมน้อย 02-441-7899 ต่อ 1111 , 3124 หรือ1792
ติดต่อผ่านช่องทางไลน์ได้ง่ายๆ Line
สามารถตรวจเช็ค ตารางแพทย์ออกตรวจ เพื่อขอเข้ารับคำปรึกษาได้เลยค่ะ