ไข้เลือดออกคืออะไร?
สาเหตุ อาการ ระยะ และวิธีป้องกัน
โรคไข้เลือดออก (Dengue Fever) เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี ซึ่งมียุงลายเป็นพาหะนำโรค โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่ยุงชุกชุม โรคนี้สามารถพบได้ทุกเพศทุกวัย แต่ในเด็กและวัยรุ่นมักพบอาการรุนแรงมากกว่า หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ภาวะช็อกจากไข้เลือดออก
สาเหตุของไข้เลือดออก
เชื้อไวรัสเดงกี (Dengue Virus) มีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ (DEN-1 ถึง DEN-4) ติดต่อผ่านการถูกยุงลายที่มีเชื้อกัด โดยยุงจะรับเชื้อจากผู้ที่มีเชื้อในเลือด และแพร่กระจายไปยังคนอื่นเมื่อกัดอีกครั้ง
อาการของไข้เลือดออก
อาการมักเริ่มภายใน 4–7 วันหลังถูกยุงกัด โดยมีลักษณะเด่นดังนี้:
- ไข้สูงเฉียบพลัน (มากกว่า 38.5–40 องศาเซลเซียส)
- ปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา
- เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและข้อ
- มีผื่นขึ้นตามตัว โดยเฉพาะหลังไข้ลด
ไข้เลือดออกมีกี่ระยะ?
โรคไข้เลือดออกแบ่งเป็น 3 ระยะ:
- ระยะไข้ (Febrile phase): ไข้สูง 2–7 วัน อ่อนเพลีย
- ระยะวิกฤต (Critical phase): มักเกิดวันที่ 3–7 มีความเสี่ยงต่อภาวะช็อก เสียเลือด หรืออวัยวะล้มเหลว
- ระยะฟื้นตัว (Recovery phase): ไข้ลด ความอยากอาหารกลับมา ปัสสาวะมากขึ้น ผื่นแดงอาจยังคงอยู่
ระยะช็อกของไข้เลือดออกคืออะไร?
ภาวะช็อกเกิดจากการรั่วของพลาสมาออกนอกหลอดเลือด ทำให้ความดันโลหิตต่ำและเลือดไปเลี้ยงอวัยวะไม่เพียงพอ ต้องได้รับการรักษาโดยด่วนในโรงพยาบาล มีโอกาสเสียชีวิตหากปล่อยไว้นานเกินไป
ไข้เลือดออกในเด็ก
ในเด็ก อาการไข้เลือดออกมักรุนแรงกว่า และสังเกตได้ยากกว่า โดยอาจเริ่มด้วยไข้สูงติดต่อกันหลายวัน เด็กจะซึม ไม่เล่น เบื่ออาหาร หรืออาเจียนบ่อย หากมีเลือดออกตามไรฟัน จ้ำเลือด หรืออาการคลื่นไส้มาก ควรรีบพบแพทย์ทันที
แนะนำอ่านเพิ่มเติม ไข้เลือดออกในเด็ก สังเกตอาการอย่างไร อันตรายไหม ต้องดูแลอย่างไร
ไข้เลือดออกห้ามกินอะไร?
- ห้ามใช้ยาแอสไพริน หรือยากลุ่ม NSAIDs เช่น Ibuprofen เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงเลือดออก
- หลีกเลี่ยงอาหารมัน อาหารรสจัด เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
- ควรรับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม และดื่มน้ำมาก ๆ
ใช้ยาลดไข้ได้ไหม?
สามารถใช้ พาราเซตามอล เพื่อลดไข้ได้ โดยต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ ห้ามใช้แอสไพรินหรือไอบูโพรเฟนเด็ดขาด เพราะอาจทำให้เลือดออกง่ายขึ้น
การวินิจฉัยและรักษาไข้เลือดออก
แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ร่วมกับการตรวจเลือด (CBC) เพื่อดูระดับเกล็ดเลือดและความเข้มข้นของเลือด หากพบแนวโน้มเสี่ยงเข้าสู่ระยะช็อก อาจต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อเฝ้าระวังใกล้ชิด
ป้องกันไข้เลือดออกได้อย่างไร?
- กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย เช่น ยางรถยนต์เก่า กระถางน้ำขัง ถังน้ำ
- ใช้มุ้งหรือยากันยุงเมื่อนอนหลับ
- ฉีดวัคซีนไข้เลือดออก (บางกลุ่มอายุ เช่น เด็กโต–วัยรุ่นที่เคยติดเชื้อมาก่อน)
- สวมเสื้อผ้าปิดมิดชิดเมื่อต้องออกนอกบ้านช่วงเย็น
FAQ – คำถามที่พบบ่อย
Q: จะรู้ได้อย่างไรว่าติดไข้เลือดออก?
A: หากมีไข้สูงเฉียบพลัน ปวดกระบอกตา ปวดเมื่อยตามตัว และมีผื่นหลังไข้ลด ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจยืนยัน
Q: ไข้เลือดออกหายกี่วัน?
A: ส่วนใหญ่หายภายใน 7–10 วัน หากไม่มีภาวะแทรกซ้อน
Q: ระยะช็อกอยู่กี่วัน?
A: ระยะวิกฤตที่มีความเสี่ยงต่อช็อกมักกินเวลา 1–2 วัน แต่เป็นช่วงที่ต้องเฝ้าระวังใกล้ชิดที่สุด
Q: ไข้เลือดออกติดซ้ำได้ไหม?
A: ได้ เพราะมี 4 สายพันธุ์ การติดเชื้อหนึ่งครั้งไม่ได้สร้างภูมิต่อสายพันธุ์อื่น
หากพบอาการน่าสงสัย อย่ารอช้า
ศูนย์อายุรกรรมและศูนย์กุมารเวช
โรงพยาบาลวิชัยเวชฯ อ้อมน้อย พร้อมดูแลทุกวัย ตลอด 24 ชั่วโมง
โดยแพทย์เฉพาะทางที่มีประสบการณ์ในการวินิจฉัยและรักษาโรคไข้เลือดออก