ตับคืออวัยวะเงียบ ๆ ที่ทำหน้าที่สำคัญทั้งกำจัดสารพิษ ผลิตน้ำดี และเก็บพลังงาน แต่เมื่อตับเริ่มทำงานผิดปกติ อาการในระยะแรกมักไม่ชัดเจน หลายคนจึงไม่รู้ว่าตับเริ่มเสื่อม จนโรคลุกลามถึงขั้น ตับแข็งหรือตับวาย
บทความนี้จะพาคุณรู้จัก สัญญาณเตือนระยะแรกของปัญหาตับ วิธีสังเกต ตรวจวินิจฉัย และแนวทางดูแล พร้อมแนะนำบทความที่เกี่ยวข้อง เช่น
👉 ตรวจค่าตับ SGOT และ SGPT ต่างกันอย่างไร เท่าไหร่ถึงผิดปกติ
ทำไมตับ “ป่วยเงียบ” ได้ง่าย?
ทำไมอาการมักไม่ชัดเจนในช่วงแรก
โรคตับในหลาย ๆ รูปแบบ เช่น ตับอักเสบ ไขมันพอกตับ (NAFLD) ย่อมเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป การทำงานของตับสำรองสามารถชดเชยได้ดีในระยะเริ่มต้น จึงมักไม่มีอาการชัดเจน จนกระทั่งเกิดความเสียหายสะสมมากขึ้น
ปัจจัยเสี่ยงที่ควรรู้
คนที่มีปัจจัยเหล่านี้จะเสี่ยงที่ตับจะถูกทำลายเร็วขึ้น
- การดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
- ไขมันพอกตับ / โรคอ้วน / เบาหวาน / การดื้อต่ออินซูลิน
- การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ B หรือ C
- การใช้ยา หรือสารพิษที่มีผลต่อเซลล์ตับ
- โรคทางพันธุกรรม เช่น โรค Wilson, ภาวะสะสมธาตุเหล็ก
- พฤติกรรมการรับประทานอาหารไม่ดี ขาดการออกกำลังกาย
หากคุณอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ควรให้ความสำคัญกับการตรวจสุขภาพตับเป็นประจำ
สัญญาณเตือนระยะแรกของ “ตับเริ่มมีปัญหา”
ต่อไปนี้คืออาการที่มักถูกมองข้าม แต่หากเกิดขึ้นร่วมกันอาจเป็นสัญญาณว่าตับกำลังเริ่มเสื่อม
-อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย อย่างผิดปกติ
เมื่อการทำงานของตับลดลง ร่างกายอาจสะสมสารพิษหรือเผาผลาญพลังงานได้ลดลง ทำให้รู้สึกเหนื่อยง่าย เหนื่อยแม้ไม่ได้ทำงานหนัก
-เบื่ออาหาร น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
อาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด มักเป็นสัญญาณว่าเมตาบอลิซึมในตับผิดปกติ การย่อยไขมันทำได้น้อยลง
-ท้องอืด แน่นอึดอัด หรือรู้สึกอิ่มเร็ว
เมื่อผลิตน้ำดีได้น้อย ตับเสื่อมอาจส่งผลให้ย่อยไขมันได้ไม่เต็มที่ ทำให้ท้องอืด แน่น ส่งผลให้รู้สึกอิ่มเร็ว
-ตามผิวหนังโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน
สารพิษหรือบิลิรูบินอาจสะสมในผิวนำไปสู่ภาวะคัน โดยไม่มีผื่นร่วมด้วย
– ปัสสาวะสีเข้ม / อุจจาระสีซีด
หากตับไม่สามารถขับบิลิรูบินได้ ปัสสาวะอาจมีสีน้ำตาลเข้ม และอุจจาระอาจซีดกว่าปกติ
– ตาเหลือง / ตัวเหลือง (ดีซ่าน)
เป็นสัญญาณชัดขึ้นว่าเกิดการสะสมของบิลิรูบินในเลือด เนื่องจากตับไม่สามารถกำจัดได้อย่างเต็มที่
– ปวดหรือรู้สึกแน่นบริเวณชายโครงขวาบน
ตับอยู่ใต้ชายโครงด้านขวา หากมีการอักเสบ ขยาย หรือมีความดันภายใน จะรู้สึกอึดอัด จุกหรือปวดแถวชายโครงขวา
– บวม บวมน้ำ / ท้องโต
เมื่อโรคตับดำเนินไป อาจเกิดภาวะความดันในระบบเลือดในตับสูง (portal hypertension) ทำให้มีของเหลวซึมเข้าสู่ช่องท้อง (ascites) หรือบวมรอบข้อเท้า
เมื่ออาการหนักขึ้น — สัญญาณลุกลามที่ควรรู้
- เลือดออกง่าย / มีรอยช้ำง่าย
- คลื่นไส้อาเจียนบ่อย ไม่กินอาหารได้
- ง่วง ซึม สับสน (ภาวะสมองจากตับ)
- น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว
- ตัวเหลืองเข้มขึ้น / ตาเหลืองจัด
- หายใจลำบาก / หอบเหนื่อย
- น้ำในช่องท้องมาก → ท้องโตเด่นชัด
อาการเหล่านี้มักพบได้เมื่อโรคตับมีความเสียหายระดับมาก หรือเข้าสู่ภาวะตับวาย / ตับแข็ง
อ่านต่อ: ตับอักเสบมีกี่ชนิด รู้ให้ลึก A–E ต่างกันอย่างไร แบบไหนอันตราย
วิธีตรวจวินิจฉัย “ตับมีปัญหา” อย่างครบเครื่อง
การตรวจเลือด (Liver Function Tests)
- ALT, AST, ALP, GGT
- บิลิรูบิน
- โปรตีน, อัลบูมิน
- เวลาแข็งตัวเลือด (PT/INR)
- Viral hepatitis panel (HBsAg, anti-HCV)
ค่าวัดผิดปกติช่วยบ่งชี้ให้แพทย์ทราบว่าตับอาจถูกทำลาย
การตรวจด้วยคลื่นเสียง / อัลตราซาวนด์ตับ
ดูโครงสร้างตับ ไขมันสะสม ก้อนเนื้อ หรือการเปลี่ยนแปลงความหนา/ความแข็งของตับ
FibroScan / Elastography
ใช้วัดความแข็งของตับ เพื่อตรวจพังพืดหรือ fibrosis ได้แบบไม่รุกราน
CT / MRI / การตรวจภาพชิ้นเนื้อ
ในกรณีที่สงสัยมะเร็งตับหรือก้อนผิดปกติ แพทย์อาจสั่ง CT/MRI หรือตรวจชิ้นเนื้อ (biopsy)
การตรวจอื่น ๆ ร่วม
- ตรวจไวรัสตับอักเสบ
- ตรวจเมตาบอลิซึม (ไขมัน, น้ำตาล, ไตรกลีเซอไรด์)
- ตรวจภูมิคุ้มกัน / พันธุกรรม (ในบางกรณี)
แนวทางป้องกัน &ดูแลตับให้แข็งแรง
-ปรับวิถีชีวิต
- หลีกเลี่ยงหรือจำกัดแอลกอฮอล์
- ควบคุมเบาหวาน / จัดการไขมันในเลือด
- ลดน้ำหนัก / เล่นกีฬา / เดิน
- รับประทานอาหารสุขภาพสูง (ผัก ผลไม้ ธัญพืช)
- หลีกเลี่ยงสารพิษ ยาเสริมอาหารที่ไม่รู้แหล่ง
– ฉีดวัคซีน & ตรวจเลือดประจำ
- ฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบ B
- ตรวจสุขภาพตับเป็นประจำ โดยเฉพาะถ้ามีปัจจัยเสี่ยง
– ติดตาม / รักษาเมื่อพบความผิดปกติ
เมื่อผลการตรวจพบความผิดปกติ เช่น ค่า ALT/AST สูง, ผล FibroScan ผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางทันที เพื่อหยุดการลุกลาม
FAQ — คำถามที่คนมักสงสัย
Q: ถ้าไม่มีอาการเลย แสดงว่า “ตับปกติดี” หรือไม่?
A: ไม่เสมอไป เพราะโรคตับในระยะแรกอาจไม่มีอาการใด ๆ (เป็น silent disease) จึงควรตรวจเลือด / อัลตราซาวนด์เป็นประจำโดยเฉพาะถ้ามีปัจจัยเสี่ยง
Q: ค่า ALT/AST สูงเสมอ หมายถึงตับอักเสบหรือไม่?
A: ค่า ALT/AST สูงเป็นสัญญาณว่ามีการบาดเจ็บของเซลล์ตับ แต่อาจมีสาเหตุอื่นร่วม เช่น ยา อาหาร หรือโรคอื่น ๆ ต้องวินิจฉัยร่วมภาพอื่น
Q: ตับอักเสบสามารถหายได้ไหม?
A: ขึ้นอยู่กับชนิด ถ้าเป็นตับอักเสบเฉียบพลัน หายได้ถ้าดูแลดี แต่ถ้าเรื้อรังหรือลุกลาม อาจหยุด/ชะลอได้แต่ไม่กลับสภาพ 100% เสมอไป
4: ถามว่า “คันตามผิว” จริงหรือเป็นตับอักเสบ?
A: ใช่ได้ ถ้ามีคันเรื้อรังโดยไม่มีสาเหตุอื่น อาจเกิดจากการสะสมสารพิษในเลือด เนื่องจากตับทำงานได้ไม่ดี
Q: ถ้าพบ FibroScan ระดับ fibrosis เล็กน้อย ควรทำอย่างไร?
A: ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและปรับพฤติกรรม รวมถึงติดตามผลเป็นระยะ และรักษาภาวะต้นเหตุ เช่น ไขมันพอกตับ
Q: มะเร็งตับจะแสดงอาการอย่างไร?
A: อาจมีอาการคล้ายตับล้มแบบค่อยเป็น เช่น ปวดท้องบนขวา เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ตาเหลือง ท้องโต ฯลฯ — เมื่อเห็นอาการเหล่านี้ ควรรีบตรวจคัดกรองมะเร็งตับโดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยง
การรู้สัญญาณเตือน ระยะแรกของปัญหาตับ ตั้งแต่ในเบื้องต้น มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการตรวจและวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่น ๆ ช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษา ป้องกันการลุกลามจนถึงตับแข็งหรือตับวาย
หากคุณมีอาการเช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ท้องอืด คันผิว ปัสสาวะสีเข้ม หรือมีปัจจัยเสี่ยงเรื่องตับ อย่ารอช้า — ให้มาพบผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจประเมิน
เชิญเข้ารับบริการตรวจสุขภาพตับที่คลินิกทางเดินอาหารและตับ ศูนย์อายุรกรรม โรงพยาบาลวิชัยเวชฯ อ้อมน้อย
เรามีทีมแพทย์เฉพาะทาง พร้อมอุปกรณ์ตรวจครบครัน (อัลตราซาวนด์, ตรวจเลือดตับ) สำหรับผู้เข้ารับบริการในเขตอ้อมน้อย / ใกล้เคียง จองนัดเลยวันนี้ เพื่อสุขภาพตับที่แข็งแรงและชีวิตที่อุ่นใจ
คลินิกระบบทางเดินอาหารและตับ
โรงพยาบาลวิชัยเวชฯ อ้อมน้อย
โทร: 02-441-7899 หรือ1792
แผนที่: ใกล้พุทธมณฑล – หนองแขม – อ้อมน้อย
นัดหมายออนไลน์: Line